สรรพคุณของเลซิตินกิฟฟารีน เลซิตินช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?
ความสำคัญของตับ
ตับเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย จัดเป็นอวัยวะสำคัญที่มีเลือดมาเลี้ยงประมาณ 1 ใน 4 ของเลือดที่ออกจากหัวใจใน 1 นาที มีหน้าที่ที่สำคัญต่อระบบต่างๆในร่างกาย เช่น สร้างน้ำดี เพื่อย่อยอาหารไขมัน โดยตับที่มีสุขภาพดีจะมีอัตราการเผาผลาญไขมันเพื่อเปลี่ยนให้เป็นพลังงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สร้างโปรตีนที่สำคัญของร่างกายหลายชนิด รวมทั้งโปรตีนที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด กำจัดสารพิษต่างๆ เช่น ยาบางชนิดและแบคทีเรียบางชนิด เป็นต้น
หากเกิดอาการผิดปกติต่อตับ เช่น เกิดไขมันพอกตับ ตับอักเสบ ตับแข็ง จะส่งผลต่อการทำงานของตับและมีผลกระทบต่อร่างกาย เช่น ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ภูมิต้านทานต่ำ ขาดโปรตีน ตัวบวม เลือดออกง่าย แผลหายช้า น้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำกว่าปกติ ไขมันในเลือดสูง ท้องมาน อาการทางสมอง ไตวาย หัวใจวาย และอาจส่งผลกระทบอื่นๆต่อสุขภาพตามมาในที่สุด
ไขมันพอกตับ
ไขมันพอกตับ คือ ภาวะที่ไขมัน โดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์เข้าไปสะสมอยู่ในตับมากกว่าปกติ เป็นโรคที่สามารถพบได้ในกลุ่มคนทุกเพศทุกวัย และยังเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคตับอักเสบ และอาจลุกลามไปสู่โรคตับแข็งและมะเร็งตับได้
อาการเบื้องต้นของโรคไขมันพอกตับ
โรคไขมันพอกตับสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ภาวะอ้วน ขาดการออกกำลังกาย ดื่มสุราเป็นประจำ โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูง แม้ว่าไขมันพอกตับจะไม่มีอาการบ่งชี้ของโรคที่ชัดเจน แต่เราสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นที่สามารถบอกได้ว่าตับเริ่มมีปัญหา เนื่องจากระบบการทำงานของตับที่ไม่เป็นปกติ เช่น
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
- นอนไม่หลับ
- มีอาการปวดจุกแน่นชายโครงขวา
- ท้องอืด อาหารไม่ย่อย
ในปัจจุบัน มีผู้ที่มีปัญหาโรคเกี่ยวกับตับและมีภาวะเสี่ยงเป็นจำนวนมากโดย:
- 30% ของคนทั่วไปมีภาวะของไขมันพอกตับ
- 70% ของคนอ้วน จะมีภาวะไขมันพอกตับ มีความเสี่ยงต่อภาวะตับอักเสบและตับแข็ง
- 95% ของคนอ้วนที่ดื่มสุรา จะมีภาวะของไขมันพอกตับ และมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะเป็นตับอักเสบและตับแข็ง
นอกจากนี้ ยังพบว่าโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โคเลสเตอรอลสูง ไตรกลีเซอไรด์สูง จะมีส่วนเชื่อมโยงให้เกิดโรคเกี่ยวกับตับ โดยเฉพาะไขมันพอกตับได้ มีรายงานว่า 80% ของผู้ป่วยเบาหวาน มีภาวะไขมันพอกตับ และมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคตับแข็งสูงกว่าการเสียชีวิตจากโรคหัวใจด้วยสัดส่วน 2.7 : 1.8
ทำความรู้จักกับเลซิติน
เลซิติน (Lecithin) เป็นไขมันในกลุ่มฟอสโฟไลปิด (Phospholipid) ซึ่งอุดมด้วยสารฟอสฟาทิดิล โคลีน (Phosphatidyl Choline) เลซิตินพบมากในถั่วเหลือง ถั่วลิสง ไข่และตับ โดยจะพบได้มากที่สุดในถั่วเหลือง มีคุณสมบัติเข้ากันได้ กับน้ำและน้ำมัน ถือเป็นตัวทำละลายที่ดี ช่วยในการทำลายโคเลสเตอรอลในเลือดให้แตกตัวเป็นอนุภาคขนาดเล็ก จึงช่วยลดการสะสมของไขมันที่ตับ และลดการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด
สารฟอสฟาทิดิลโคลีน ในเลซิติน มีบทบาทในการบำรุงตับ ดังนี้
- ช่วยในการกำจัดไขมันออกจากเซลล์ตับ
- ยับยั้งการสะสมไขมันในเซลล์ตับ
แหล่งของเลซิตินที่พบได้ตามธรรมชาติมีอยู่ 2 แหล่งที่สำคัญ คือ
- ร่างกายของมนุษย์ สามารถผลิตเลซิตินได้เองที่ตับ แต่หากร่างกายขาดสารตั้งต้นสำหรับใช้ผลิตเลซิติน เช่น กรดไขมันจำเป็น วิตามินบี และสารสำคัญอื่นๆ ก็จะส่งผลให้ร่างกายสร้างเลซิตินได้ไม่เพียงพอ
- แหล่งอื่นๆจากธรรมชาติ พบได้ทั้งในพืชและสัตว์ โดยจะพบได้มากในไข่แดง ถั่วเหลือง เมล็ดทานตะวัน ถั่วลิสง จมูกข้าว เป็นต้น แต่การบริโภคอาหารเหล่านี้ในปริมาณมาก มักจะทำให้เกิดภาวะโคเลสเตอรอลสูงตามมา อีกทั้งการปรุงอาหารด้วยกรรมวิธีต่างๆ ที่ผ่านความร้อน เช่น ทอด ย่าง ต้ม อาจทำให้เลซิตินถูกทำลายไปมาก
ปัจจุบันจึงมีการสกัดเลซิตินเข้มข้นจากไข่แดงและถั่วเหลือง ซึ่งเลซิตินจากถั่วเหลืองจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันสุขภาพได้ดีกว่าแหล่งอื่นๆ เพราะมีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวมากที่สุดและปราศจากโคเลสเตอรอลนั่นเอง
สรรพคุณของเลซิตินกับตับ
ดูแลตับ ปกป้องตับจากการเกิดภาวะไขมันพอกตับ บำรุงตับ ป้องกันตับอักเสบ ป้องกันตับแข็ง
ลดภาวะไขมันพอกตับ มีการศึกษากับผู้ป่วยที่ต้องได้รับอาหารทางหลอดเลือดดำโดยตรงเป็นเวลานาน จำนวน 15 คน ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้มักพบปัญหาระดับโคลีนในเลือดต่ำ และพบว่าประมาณ 50% ของผู้ป่วยมีภาวะตับอักเสบ จึงทดลองให้เลซิตินในผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นเวลา 6 สัปดาห์ พบว่า กลุ่มที่ได้รับเลซิตินจะมีระดับโคลีนในเลือดเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% และมีการสะสมของไขมันที่ตับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับก่อนการทดลอง ดังตารางนี้
ข้อสังเกตในการทดลอง | กลุ่มที่ได้รับเลซิติน | กลุ่มที่ไม่ได้รับเลซิติน |
---|---|---|
ระดับโคลีนในเลือด | เพิ่มขึ้นมากกว่า 50% | ลดลงประมาณ 25% |
การสะสมไขมันที่ตับ | ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ | ไม่เปลี่ยนแปลง |
เนื่องจากเลซิตินจะลดการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันภายในตับ ทำให้ไขมันไม่เกิดการรวมตัว จึงไม่ไปพอกที่เซลล์ตับ และยังช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันที่ตับ จึงทำให้ไม่เกิดการสะสม และลดการดูดซึมโคเลสเตอรอลที่เป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดภาวะไขมันพอกตับนั่นเอง
ป้องกันโรคตับจากแอลกอฮอล์ มีการศึกษาในลิงบาบูน พบว่าเลซิตินสามารถป้องกันการเกิดโรคตับแข็ง เนื่องจากการรับประทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ โดยเลซิตินจะไปกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์คอลลาจีเนสในตับ จึงลดการสร้างผังผืดในตับ ลดการสะสมของไขมันในตับ ซึ่งเป็นสาเหตุของการพัฒนาไปสู่โรคตับแข็ง ป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันบริเวณตับ จึงไม่เกิดอนุมูลอิสระไปทำลายเซลล์และป้องกันภาวะจากการอักเสบของตับ
กราฟแสดงการศึกษาการใช้ฟอสฟาทิดิลโคลีนร่วมกับแอลกอฮอล์กับลิงบาบูน
กราฟด้านซ้าย
แสดงการเกิดภาวะโรคตับของลิงบาบูน ที่ได้รับเหล้าร่วมกับอาหารปกติ
กราฟด้านขวา
แสดงการเกิดภาวะโรคตับของลิงบาบูน ที่ได้รับเหล้าร่วมกับฟอสฟาทิดิลโคลีน
จากข้อมูลดังกล่าวพบว่า ลิงบาบูนที่ได้รับเหล้าจะพัฒนาไปเป็นตับแข็งเกือบทุกตัวภายใน 6 ปี แต่หากได้รับเหล้าร่วมกับฟอสฟาทิดิลโคลีน จะไม่เป็นตับแข็งแม้แต่ตัวเดียว
ป้องกันตับจากสารพิษต่างๆ
- ป้องกันตับจากพิษของยาบางประเภท ได้แก่ แอสไพริน ไอบูโพรเฟน ยาแก้อักเสบเตตร้าไซคลิน
- ป้องกันตับจากสารเคมีหรือพิษของยากำจัดศัตรูพืชต่างๆ
- ป้องกันตับจากพิษของเห็ดบางชนิด
- ป้องกันตับจากรังสี
สรรพคุณของเลซิติน กับ สมอง
ช่วยพัฒนาการเรียนรู้ เสริมสร้างความจำ และลดอาการอัลไซเมอร์ในระยะเริ่มต้น เนื่องจากโครงสร้างของเลซิติน มีสารประกอบที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ โคลีน (Choline) ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นต่อการสร้างสารสื่อประสาทที่สำคัญของสมอง ที่ชื่อว่า สารอะซิทิลโคลีน (Acetylcholine) ดังนั้นหากร่างกายได้รับเลซิตินในปริมาณที่เพียงพอก็จะช่วยป้องกันและรักษาอาการผิดปกติของระบบประสาทบางประเภทได้
ทางการแพทย์จึงมีการนำเลซิตินมาใช้ในการบำบัดโรคทางสมองต่างๆในปัจจุบัน เช่น โรคพาร์คินสัน และโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นโรคทางสมองที่เกิดจากเซลล์ประสาทขาดสารอะซิทิลโคลีน (Acetylcholine) หรือในคนชราที่ป่วยเป็นโรคความจำเสื่อม โดยพบว่าผู้สูงอายุที่มีภาวะความจำเสื่อมบางรายจะมีอาการดีขึ้น เมื่อรับประทานเลซิตินวันละ 25 กรัม ติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ระยะเริ่มต้นพบว่า เมื่อได้รับโคลีนเป็นเวลา 6 เดือน จะช่วยให้ความจำดีขึ้นได้ หรือการให้โคลีนร่วมกับยาที่ใช้รักษา จะช่วยพัฒนาความสามารถที่ต้องใช้ความจำเพิ่มขึ้นได้
คุณสมบัติของเลซิติน กับ การดูดซึมโคเลสเตอรอล หลอดเลือดและหัวใจ
ช่วยละลายไขมันและเพิ่มการขับไขมันโคเลสเตอรอลในร่างกาย ป้องกันการตกตะกอนของไขมันในผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดแข็งและตีบตัน ป้องกันการเกิด อัมพฤกษ์ อัมพาต
มีการศึกษาทั้งในสัตว์ทดลองและผู้มีภาวะระดับโคเลสเตอรอลสูงพบว่า เลซิตินจะลดการดูดซึมโคเลสเตอรอล สามารถลดระดับไขมันชนิดไม่ดี (LDL) และไตรกลีเซอร์ไรด์ได้ อีกทั้งช่วยเพิ่มระดับไขมันชนิดดี (HDL) ได้อีกด้วย จากคุณสมบัติดังกล่าวจึงทำให้ลดภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ป้องกันภาวะหัวใจขาดเลือด อันนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือหัวใจวายเฉียบพลัน
คุณสมบัติของเลซิติน กับ การเกิดนิ่วในถุงน้ำดี
นิ่วในถุงน้ำดีมีสาเหตุมาจาก ในน้ำดีมีปริมาณของไขมันโคเลสเตอรอลสูงจนเกินไป เลซิตินมีคุณสมบัติเป็นตัวช่วยเพิ่มความสามารถในการทำละลายของน้ำดี ทำให้สารแขวนลอยในน้ำดีไม่จับตัวเป็นก้อนจนกลายเป็นนิ่ว เพิ่มการหลั่งและการไหลเวียนของน้ำดี ป้องกันการอุดตันที่ท่อน้ำดี และลดค่าดัชนีไขมันอิ่มตัว
สรรพคุณของเลซิติน กับ การลดน้ำหนัก
เลซิตินมีคุณสมบัติในการช่วยละลายไขมัน จึงช่วยลดการสะสมของไขมัน และช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น
ขนาดการรับประทานที่เหมาะสมของเลซิติน
- เพื่อเสริมความจำ ป้องกันสมองเสื่อม รับประทานวันละ 1,200-3,600 มิลลิกรัม
- เพื่อบำรุงตับ ลดการทำลายเซลล์ตับ รับประทานวันละ 1,200-3,600 มิลลิกรัม
- เพื่อลดไขมันโคเลสเตอรอล ป้องกันโรคสมองและหัวใจขาดเลือด รับประทานวันละ 3,600-7,200 มิลลิกรัม
เลซิตินกับแคโรทีนอยด์จากธรรมชาติและวิตามินอีดีอย่างไร?
การใช้เลซิตินในการบำบัดเพียงอย่างเดียว อาจไม่ได้ประสิทธิภาพในการรักษาโรคที่เพียงพอ ถึงแม้ว่าเลซิตินจะช่วยลดการสะสมของไขมันที่ตับและผนังหลอดเลือดได้ แต่ยังคงเหลือไขมันบางส่วนที่ตกค้างสะสมอยู่ในเซลล์ รวมทั้งไขมันบางส่วนในกระแสเลือด ซึ่งมีโอกาสเกิดการสะสมเพิ่มเติมภายหลังได้ ดังนั้นจึงควรมีสารต้านอนุมูลอิสระเสริมเข้ามา เพื่อป้องกันไขมันไม่ให้เกิดการออกซิเดชั่น และลดการอักเสบของเซลล์ ซึ่งจะสามารถลดโอกาสการเกิดไขมันพอกตับและผนังหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากการวิจัย การได้รับเลซิตินเพียงอย่างเดียว จะมีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาสุขภาพ สมอง หัวใจ หลอดเลือด มะเร็ง และผิวพรรณ ได้ 30% เท่านั้น แต่หากได้รับเลซิตินชนิดฟอสฟาทิดิลโลคีนสูง เสริมด้วยแคโรทีนอยด์จากธรรมชาติ 4 ชนิด และวิตามิน อี จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 100%
ซึ่งการใช้แคโรทีนอยด์และวิตามิน อี ร่วมกัน จะส่งเสริมประสิทธิภาพในการต้านออกซิเดชั่นได้ดียิ่งขึ้น โดยมีงานวิจัยรายงานว่า การเสริมแคโรทีนอยด์รวม ร่วมกับวิตามิน อี จะเสริมฤทธิ์กันในการปกป้องเซลล์ตับจากอนุมูลอิสระ และสามารถลดการเกิดมะเร็งตับ ในคนไข้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบได้ถึง 50%
แคโรทีนอยด์จากธรรมชาติ 4 ชนิด
ประกอบด้วย อัลฟาแคโรทีน, เบต้าแคโรทีน, แกมมาแคโรทีน และไลโคปีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ และส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม
- ดูแลปกป้องตับ ยับยั้งไม่ให้เกิดการออกซิเดชั่นของอนุมูลอิสระต่อเซลล์ตับ จึงลดการสะสมของไขมันในตับ ป้องกันตับอักเสบ ป้องกันการเกิดมะเร็งตับจากพิษ Aflatoxin B1 (พิษจากเชื้อรา) และปกป้องตับจากเหล้า รวมทั้งภาวะน้ำตาลในเลือดสูงในคนไข้เบาหวาน
- ลดการทำลายผนังหลอดเลือดจากอนุมูลอิสระ ป้องกันหลอดเลือดอักเสบและลดการออกซิเดชั่นของไขมันในหลอดเลือด จึงลดการเกิดไขมันสะสมที่ผนังหลอดเลือด ป้องกันภาวะหลอดเลือดแข็งตัว ลดโอกาสการเกิดหลอดเลือดตีบตันในอวัยวะของร่างกาย
- ปกป้องสารพันธุกรรมจากการจู่โจมของอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งทุกชนิด
- ปกป้องเซลล์ผิว จากอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวพรรณสดใส อ่อนวัย
วิตามิน อี
วิตามิน อี มีชื่อเรียกว่า Tocopherol ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในร่างกายโดย ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหาร
- ช่วยต้านไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัว ขยายหลอดเลือดฝอย
- ป้องกันการเกาะตัวของเกร็ดเลือดที่ผนังหลอดเลือด
- ลดโคเลสเตอรอล
- มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ
ผลิตภัณฑ์เลซิตินของกิฟฟารีน
กิฟฟารีน เลซิติน 1,200 มก. ผสมแคโรทีนอยด์และวิตามินอี ชนิดแคปซูลนิ่ม (ขนาด 60 หรือ 30 แคปซูล)
เอกสารอ้างอิง
- Carcinogenesis, 1998 Mar; 19(3): 403-411
- Cholesterol, Vol. 2010, Article ID 824813, 4 pages
- Current Therapeutic Research, 2004 May-June; 65(3): 266-277
- E Encyclopedia of Natural Medicine, revised 2nd ed. 1998, USA: Prima Publishing. Pp 299, 283, 481.
- Gastroenterology 1992; 102 (4Pt1): 1363 – 1370, PMID: 1551541
- Gastroenterology 1994; 106:152-159
- Gastroenterology and Hepatology, 2007; 22: 794-800
- Hepatology, 2003; 37(5): 1202-1219
- International Symposium on Human Health: Favhealth 2007
- National Cancer Center Kyoto Prefectural University of Medicine, Kyoto, Japan
- The natural pharmacy, 1998, USA: Prima Publishing. Pp 176-177.
- Toxical and Health, 2009 May-June; 25(4-5): 311-320
- Sources of choline and lecithin in the Diet Choline and Lecithin in Brain Disorders Reven Press, New York 1979